เมนู

ภิกษุใดมีกามาสวะสิ้นไปแล้ว สำรอก
อวิชชาออกได้แล้ว และมีภวาสวะหมดสิ้น
แล้ว ภิกษุนั้นพ้นวิเศษแล้ว หาอุปธิมิได้
ชนะมารพร้อมด้วยพาหนะแล้ว ย่อมทรง
ไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบทุติยอาสวสูตรที่ 8

ในสูตรที่ 8 ไม่มีข้อความที่ไม่เคยมีมาก่อน.

9. ตัณหาสูตร


ว่าด้วยตัณหา 3 ประการ


[236] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้
สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตัณหา 3 ประการนี้ 3 ประการเป็นไฉน ?
คือ กามตัณหา 1 ภวตัณหา 1 วิภวตัณหา 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ตัณหา 3 ประการนี้แล.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ชนทั้งหลาย ประกอบแล้วด้วยตัณหา
เครื่องประกอบสัตว์ไว้ มีจิตยินดีแล้วใน
ภพน้อยและภพใหญ่ ชนเหล่านั้นประกอบ
แล้วด้วยโยคะ คือ บ่วงแห่งมาร เป็นผู้
ไม่มีความเกษจากโยคะ สัตว์ทั้งหลายผู้ถึง
ชาติและมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร ส่วนสัตว์
เหล่าใดละตัณหาได้ขาด ปราศจากตัณหา
ในภพน้อยและภพใหญ่ ถึงแล้วซึ่งความ
สิ้นไปแห่งอาสวะ สัตว์เหล่านั้นแล ถึงฝั่ง
แล้วในโลก.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบตัณหาสูตรที่ 9

อรรถกถาตัณหาสูตร


ในตัณหาสูตรที่ 9 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
กิเลสชาติ ชื่อว่า ตัณหา เพราะหมายความว่าทะยานอยาก. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่าตัณหา เพราะหวั่นไหวอารมณ์มีรูปเป็นต้น บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงแยก
ตัณหานั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า กามตัณหา ดังนี้.